กุศโลบาย เรียก “สติ”

     หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ท่านกล่าวว่า
     “พระพุทธคุณ อาตมาสังเกตมาว่า บางคนเขาไปหา
หมอดู เคราะห์ร้ายก็ต้องสะเดาะเคราะห์ อาตมาก็มาดู
เหตุการณ์ โชคลางไม่ดีก็เป็นความจริงของหมอดู อาตมาก็
ตั้งตำราขึ้นมาด้วยสติ

     บอกว่าโยมไปสวดพุทธคุณเท่าอายุให้เกินกว่า ๑ ให้ได้
เพื่อให้สติดี แล้วสวด “พาหุงมหากา” หายเลย

     สติก็ดีขึ้น เท่าที่ใช้ได้ผลสวดตั้งแต่ นะโม พุทธัง ธัมมัง
สังฆัง พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุงมหากา

     จบแล้วย้อนมาข้างต้น เอาพุทธคุณห้องเดียว ห้องละ
๑ จบ ต่อ ๑ อายุ อายุ ๔๐ สวด ๔๑ ก็ได้ผล”

     นี่เป็นกุศโลบาย เรียก “สติ” ที่ใช้ได้ผลดี การทำ การพูด
การคิด หากมี “สติ” เป็นเครื่องคุ้มครองรักษา ย่อมจะเกิด
ประโยชน์ต่อตน ต่อสังคม ที่สุดแม้ต่อโลก..!

ชีวิตจริง คือ ปัจจุบัน

     ชีวิตจริง คือ ปัจจุบัน เวลาที่มีคุณค่า คือเวลาที่เป็น
ปัจจุบัน วินาทีต่อวินาที เมื่อเวลาเคลื่อนเลยไป ไม่มีใคร
สามารถนำช่วงเวลานั้นกลับมาใช้ซ้ำได้อีก อดีต ไม่มีจริง
เพราะอดีต คือภาพความจำที่เรานำมาคิดซ้ำในเวลา
ปัจจุบัน ส่วนอนาคตก็ไม่มีจริง เพราะอนาคต ก็คือการ
ปรุงแต่งในปัจจุบันของเรา

     จงจำไว้เสมอ ชีวิตจริง คือเรื่องที่เป็น “ปัจจุบัน” การ
อยู่กับปัจจุบันจะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างในชีวิตของเราได้
และเป็นกุญแจเพียงดอกเดียวที่จะไขความลับของชีวิต
จงมี “สติ” อยู่กับปัจจุบันจนถึงที่สุด แล้วชีวิตจะเป็น
ของเราอย่างแท้จริง…!

กระบวนการ ของความสุข และความทุกข์


     ความสุขความทุกข์โดยจริงแล้วไม่ได้เกิดจากใครทำ
ไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอก แต่เกิดจากการกระทบกัน
ของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

     สิ่งภายนอกเป็นเพียงตัวแปร สิ่งภายในตัวเรา คือ
สติ เป็นสาเหตุใหญ่ ถ้าสติไม่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะอยู่ใน
สถานะไหน หรือเป็นใคร ก็มีความทุกข์ได้ทั้งนั้น

     เมื่อสติเข้มแข็ง ย่อมจะพิจารณาเห็นการทำงานของ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อเห็นกระบวนการดังกล่าว
จิตย่อมไม่รับอารมณ์เหล่านั้น อันเป็นต้นเหตุของ
ความสุข ความทุกข์ อารมณ์ที่ตัวเรารู้สึกว่ามันเป็น
ความสุข ความทุกข์ จึงถูกปรับสมดุลให้อยู่ในภาวะ
เป็นกลาง สิ่งที่เรียกว่า ความเบิกบาน จึงเกิดขึ้น..!

ทุกวันเป็น “วันแม่และวันพ่อ”

     ทุกๆวัน คือ “วันแม่” วันที่ลูกต้องสำนึกระลึกรู้พระคุณ
ของแม่ (รวมถึงพ่อด้วย) และตอบแทนด้วยการทำให้แม่
(พ่อ) มีความภูมิใจ ปลื้มใจ สุขใจต่อการกระทำดีของลูก
มิใช่ปีหนึ่งจะระลึกถึงเพียงครั้งเดียว แล้วทำกิจกรรมดี
มีประโยชน์กันทีหนึ่งเท่านั้น ทุกวันต้องเป็นวันแม่,วันพ่อ

     ชีวิตมีวันนี้กันได้ เพราะมีท่านเป็นผู้ให้ชีวิต,เลือดเนื้อ
เป็นผู้เริ่มต้นชีวิตให้

     การทำดีต่อท่าน จึงเป็นสิ่งมงคล แม้เมื่อครา
ต้องลาลับดับชีวิตจากกัน นึกถึงสิ่งดีๆที่เคยมีต่อกัน
เมื่อใด เมื่อนั้นก็สุขใจตลอดเวลา

     วันทุกวันจึงเป็น “วันแม่และวันพ่อ” วันที่ลูกๆได้ทำ
ความกตัญญูกตเวที คือ สำนึกระลึกรู้พระคุณท่าน
พร้อมทั้งตอบแทนบุณคุณนั้นในทุกๆวัน…!

จะบาป หรือ ไม่บาป

     ตามหลักพุทธศาสนา ท่านกล่าวว่า การกินเนื้อสัตว์
จะบาป หรือไม่บาปต้องพิจารณาว่า เนื้อสัตว์ที่กินนั้น จะ
เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ ศีลข้อปาณาติบาต
คืองดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จะผิดศีลก็ต่อเมื่อประกอบด้วย
องค์ ๕ คือ

     ๑. ปาโณ สัตว์มีชีวิต
     ๒. ปาณสัญฺญิตา รู้ว่าสัตว์มีชีวิต
     ๓. วธกจิตฺตํ จิตคิดจะฆ่า
     ๔. อุปกฺกโม พยายามที่จะฆ่า
     ๕. เตน มรณํ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

     เมื่อครบองค์ประกอบทั้ง ๕ ข้อ จึงถือว่าเป็นการฆ่าสัตว์
ผิดศีลข้อที่ ๑ เป็นบาป แต่ถ้าไม่ได้ลงมือฆ่าเอง และไม่ได้
ใช้ให้ผู้คนอื่นฆ่า ก็ไม่เป็นบาป ตัวอย่าง เราไปจ่ายตลาด
ซื้อกุ้งแห้ง ปลาดุกย่าง ปลาทู เนื้อหมู ฯลฯ เราได้มี
ส่วนร่วมในการฆ่าสัตว์เหล่านั้นหรือไม่ สัตว์เหล่านั้นย่อม
ตายก่อนที่เราจะไปซื้อมาเป็นอาหาร ถึงเราจะซื้อหรือไม่ซื้อ
สัตว์เหล่านั้นก็ตายอยู่แล้ว เราไม่ได้มีส่วนทำให้ตาย

     มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า “นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต” แปลว่า
“บาป ไม่มีแก่ผู้ไม่ทำ”

     ส่วนใครใคร่จะกินเจ กินมังสวิรัติ หรือกินอะไร
ก็พิจารณากินตามอัธยาศัย อย่าให้เป็นโทษต่อตน และ
บุคคลอื่นแล้วกัน…!